News and updates

e-KYC: มาตรฐานใหม่เพื่อความปลอดภัยในโลกการเงินดิจิทัล

e-KYC: มาตรฐานใหม่เพื่อความปลอดภัยในโลกการเงินดิจิทัล

เมื่อโลกการเงินก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ความปลอดภัยและความสะดวกในการยืนยันตัวตนกลายเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่ธนาคารเท่านั้นที่ต้องใช้ e-KYC แต่ยังรวมถึงแพลตฟอร์ม FinTech, บริการ e-Wallet, InsurTech, Online Lending และ Crypto Exchange ที่ต้องการระบบยืนยันตัวตนที่รวดเร็วและปลอดภัย เพื่อป้องกันการทุจริตและปฏิบัติตามกฎระเบียบสากล

ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC มีประโยชน์มากต่ออุตสาหกรรมการเงิน

1. ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC คืออะไร ทำไมจึงกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมการเงิน ?

ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC (Electronic Know Your Customer) คือกระบวนการตรวจสอบและพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแตกต่างจากกระบวน KYC แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เอกสารกระดาษและการเดินทางไปยังสาขาหรือสำนักงาน โดย e-KYC ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถลงทะเบียน e-KYC ผ่านช่องทางดิจิทัลได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่มีสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

การลงทะเบียน e-KYC มักประกอบด้วยขั้นตอนการถ่ายรูปบัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง การถ่ายภาพใบหน้าเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลเดียวกับในเอกสาร และอาจมีการตรวจสอบชีวมิติ (Biometric) อื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การสแกนลายนิ้วมือ หรือการตรวจจับการเคลื่อนไหวของใบหน้า

  

โดยมีเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง e-KYC ดังนี้

  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) : ช่วยในการวิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร รวมถึงการตรวจจับการปลอมแปลง
  • เทคโนโลยีชีวมิติ (Biometric Technology) : ใช้ในการตรวจสอบลักษณะทางกายภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล เช่น ใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือม่านตา
  • บล็อกเชน (Blockchain) : ช่วยในการเก็บข้อมูลการพิสูจน์ตัวตนแบบกระจายศูนย์ ทำให้ข้อมูลปลอดภัยและตรวจสอบย้อนหลังได้
  • การจดจำตัวอักษรด้วยแสง (OCR - Optical Character Recognition) : ช่วยแปลงข้อมูลจากเอกสารให้เป็นข้อมูลดิจิทัลโดยอัตโนมัติ
  • การตรวจจับสัญญาณชีพ (Liveness Detection) : ตรวจสอบว่าผู้ใช้กำลังมีปฏิสัมพันธ์กับระบบในเวลาจริง ป้องกันการใช้ภาพถ่ายหรือวิดีโอปลอม

  

ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจการเงินต้องปรับตัวมาใช้ e-KYC

  • ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น : ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจจับการปลอมแปลงเอกสาร และการแอบอ้างตัวตน ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการตรวจสอบด้วยสายตาแบบดั้งเดิม
  • ความเร็วและความสะดวก : ลูกค้าสามารถสมัครใช้บริการทางการเงินได้ภายในไม่กี่นาที แทนที่จะต้องรอหลายวันหรือหลายสัปดาห์เหมือนในกระบวนการแบบเดิม
  • การปฏิบัติตามกฎระเบียบ : กฎหมายและข้อบังคับด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการรู้จักลูกค้า (KYC) มีความเข้มงวดมากขึ้น ทำให้สถาบันการเงินต้องมีระบบการตรวจสอบที่แม่นยำและตรวจสอบย้อนหลังได้
  • การแข่งขันในตลาด : ธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลมีการแข่งขันสูง ผู้ให้บริการที่มีกระบวนการสมัครที่รวดเร็วและง่ายดายจะมีข้อได้เปรียบในการดึงดูดลูกค้า
  • การปรับตัวในช่วงโควิด-19 : การระบาดของโรคทำให้ลูกค้าต้องการทำธุรกรรมทางการเงินแบบไม่ต้องสัมผัส (Contactless) มากขึ้น

  

2. อุตสาหกรรมการเงินที่ต้องใช้ e-KYC มากที่สุด

Digital Banking & FinTech

ธนาคารดิจิทัลและบริษัท FinTech ต้องการระบบยืนยันตัวตนที่รวดเร็วและปลอดภัยเพื่อรองรับการเปิดบัญชีออนไลน์และการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ

  • ธนาคารออนไลน์ : ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีใหม่ได้ภายในไม่กี่นาทีผ่านการลงทะเบียน e-KYC บนแอปพลิเคชันมือถือ โดยไม่ต้องไปที่สาขา
  • แอปโอนเงิน : แพลตฟอร์มโอนเงินระหว่างประเทศหรือภายในประเทศใช้ e-KYC เพื่อตรวจสอบตัวตนของผู้ส่งและผู้รับเงิน ป้องกันการฟอกเงิน
  • บริการสินเชื่อดิจิทัล : การอนุมัติสินเชื่อออนไลน์ต้องมีการตรวจสอบตัวตนที่รัดกุมเพื่อลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ

  

Crypto & Digital Assets 

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงินและการหลอกลวง ทำให้ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC คือสิ่งจำเป็น

  • Crypto Exchange : แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้งานเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย AML และ KYC
  • NFT Marketplace : ตลาดซื้อขาย NFT ชั้นนำเริ่มนำระบบ e-KYC มาใช้เพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านการซื้อขายงานศิลปะดิจิทัล
  • DeFi Platform : แม้ว่าแพลตฟอร์มการเงินแบบไร้ศูนย์กลางจะเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำ e-KYC มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบทางการเงิน

  

E-Wallet & Payment Gateway 

กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และระบบชำระเงินออนไลน์ ต้องมีการยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต

  • กระเป๋าเงินดิจิทัล : แอปพลิเคชันกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ใช้ e-KYC ในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ก่อนอนุญาตให้เติมเงินหรือโอนเงินในจำนวนมาก
  • ระบบจ่ายเงินออนไลน์ : เกตเวย์การชำระเงินต้องตรวจสอบตัวตนของทั้งผู้ค้าและลูกค้าเพื่อลดความเสี่ยงในการทุจริต

  

InsurTech & Online Lending 

บริษัทประกันภัยและผู้ให้บริการสินเชื่อออนไลน์ต้องมั่นใจว่ากำลังให้บริการแก่บุคคลที่มีตัวตนจริง

  • สมัครประกันออนไลน์ : การซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพออนไลน์ ต้องมีการยืนยันตัวตนที่น่าเชื่อถือเพื่อป้องกันการฉ้อโกง
  • บริการปล่อยสินเชื่อดิจิทัล : แพลตฟอร์มสินเชื่อออนไลน์ใช้ e-KYC เพื่อตรวจสอบตัวตนของผู้กู้ก่อนอนุมัติวงเงิน ช่วยลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้

  

ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC ช่วยลดความเสี่ยงการแอบอ้างตัวตน

3. ประโยชน์ของระบบยืนยันตัวแบบ e-KYC ต่ออุตสาหกรรมการเงิน

ลดขั้นตอนการสมัครบริการทางการเงินให้รวดเร็วขึ้น

ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC ช่วยย่นระยะเวลาในการสมัครใช้บริการทางการเงินจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่นาที ซึ่งช่วยให้เกิดประโยชน์ ดังนี้

  • ลดต้นทุนการดำเนินงาน : สถาบันการเงินสามารถลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานตรวจสอบเอกสารด้วยมือ
  • เพิ่มอัตราการเข้าถึงลูกค้าใหม่ : กระบวนการที่รวดเร็วจะช่วยลดการสละสิทธิ์ระหว่างการสมัคร ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้น
  • ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน : ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสาขา
  • ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น : ลูกค้าพึงพอใจกับกระบวนการที่สะดวกและรวดเร็ว

  

ลดความเสี่ยงจาก Fraud, Identity Theft และ Money Laundering 

การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการตรวจสอบตัวตนจะช่วยป้องกันการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ

  • ป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร : ระบบ AI สามารถตรวจจับเอกสารปลอมได้แม่นยำกว่าการตรวจสอบด้วยสายตามนุษย์
  • ลดการแอบอ้างตัวตน : การใช้ชีวมิติหลายรูปแบบร่วมกันจะทำให้การปลอมแปลงตัวตนเป็นไปได้ยาก
  • ตรวจจับพฤติกรรมต้องสงสัย : ระบบสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการทำธุรกรรมและแจ้งเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ
  • การตรวจสอบข้อมูลแบบ Real-Time : สามารถตรวจสอบข้อมูลกับฐานข้อมูลทางการและรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงได้ทันที

  

ปฏิบัติตามกฎหมาย AML (Anti-Money Laundering) และ KYC Compliance 

การใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC ช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เก็บหลักฐานแบบดิจิทัล : ระบบสามารถจัดเก็บข้อมูลและหลักฐานการยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
  • การรายงานที่แม่นยำและรวดเร็ว : สามารถสร้างรายงานเพื่อส่งให้หน่วยงานกำกับดูแลได้อย่างอัตโนมัติ
  • การปรับปรุงข้อมูลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง : ระบบสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลลูกค้าและร้องขอการยืนยันตัวตนใหม่เมื่อจำเป็น
  • การบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น : องค์กรสามารถประเมินความเสี่ยงของลูกค้าได้แม่นยำมากขึ้นโดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากระบบ e-KYC

  

เพราะระบบยืนยันตัวตน e-KYC ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นมาตรฐานใหม่ที่ธุรกิจการเงินต้องมี เพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัย และมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า สำหรับธุรกิจ FinTech และ Digital Banking ที่สนใจติดตั้งระบบการยืนยันตัวตนด้วย e-KYC ไว้ใช้งาน สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก DataOne Asia ได้เลย

  

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Why is Online KYC Important for Businesses?. วันที่ 24 เมษายน 2568 จาก https://www.linkedin.com/pulse/why-online-kyc-important-businesses-abhishek-meon-amief