News and updates
e-Tax Invoice คืออะไร ? สรุปทุกเรื่องที่ธุรกิจต้องรู้
e-Tax Invoice คืออะไร สรุปข้อดีที่มีต่อธุรกิจยุคดิจิทัล
ปัจจุบันนี้ ระบบ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ธุรกิจจัดการกับเอกสารทางด้านภาษีได้ง่าย สะดวก และโปร่งใสมากกว่าเดิม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ ต่างก็เริ่มหันมาใช้ระบบนี้เพื่อลดต้นทุน ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บเอกสารทางภาษี
แต่สำหรับใครที่ยังคงสงสัยว่า e-Tax Invoice คืออะไร ? และมีข้อดีหรือข้อจำกัดอย่างไรบ้าง ? บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจทุกแง่มุมของ e-Tax Invoice พร้อมคำแนะนำในการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
e-Tax Invoice คืออะไร ?
e-Tax Invoice คือ ระบบที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดทำและส่งใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยใบกำกับภาษีนี้สามารถส่งผ่านระบบออนไลน์ไปยังผู้รับและกรมสรรพากรได้ทันที ซึ่งจะช่วยลดการใช้เอกสารกระดาษและเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บเอกสาร
e-Tax Invoice กับใบกำกับภาษีแบบเดิม ต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง e-Tax Invoice กับใบกำกับภาษีแบบเดิม คือ การเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับระบบดิจิทัล ที่ช่วยให้การจัดการกับเอกสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น และยังมีความแตกต่างหลัก ๆ ที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ข้อ ดังนี้
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง e-Tax Invoice และใบกำกับภาษีแบบเดิม
หัวข้อ |
e-Tax Invoice |
ใบกำกับภาษีแบบเดิม |
รูปแบบเอกสาร |
ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ |
เอกสารกระดาษ |
กระบวนการส่ง |
ส่งออนไลน์ไปยังกรมสรรพากรและลูกค้า |
ส่งทางไปรษณีย์/อีเมล หรือมอบให้โดยตรง |
ความถูกต้องแม่นยำ |
ลดข้อผิดพลาดจากการใส่ข้อมูลผิด |
มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดจากการใส่ข้อมูลแบบแมนวล |
ต้นทุน |
ลดต้นทุนกระดาษ ค่าจัดเก็บ และค่าขนส่ง |
มีต้นทุนการพิมพ์ จัดเก็บ และขนส่ง |
ความโปร่งใส |
สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ง่าย |
การตรวจสอบต้องอาศัยเอกสารแบบกระดาษ |
ข้อดีของ e-Tax Invoice
ลดการใช้กระดาษ
ระบบ e-Tax Invoice ช่วยลดปริมาณการใช้เอกสารแบบกระดาษ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนด้านการพิมพ์ การจัดเก็บ และการขนส่งเอกสาร แต่ยังเป็นแนวทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดขยะจากเอกสารที่ต้องเก็บรักษาเป็นเวลานาน
ความสะดวกและความรวดเร็ว
การออกและส่งใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถดำเนินการได้ทันทีผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนในการพิมพ์ การลงลายมือชื่อ และการจัดส่งเอกสารแบบเดิม ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการออกเอกสารและช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น
ลดข้อผิดพลาดในการจัดการข้อมูล
ระบบดิจิทัลช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการกรอกข้อมูลหรือการคำนวณภาษีแบบแมนวล เนื่องจากสามารถดึงข้อมูลจากระบบบัญชีหรือ ERP ได้โดยตรง ลดโอกาสเกิดความคลาดเคลื่อนในกระบวนการจัดทำเอกสารภาษี และช่วยให้ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
โปร่งใสและตรวจสอบได้ง่าย
e-Tax Invoice ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดทำและจัดเก็บเอกสารภาษีในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน และรองรับการตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การดำเนินธุรกิจมีความโปร่งใส เพิ่มความน่าเชื่อถือ และช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบภาษี เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ข้อจำกัดของ e-Tax Invoice
ต้องลงทุนด้านซอฟต์แวร์และการฝึกอบรมพนักงานในช่วงแรกเริ่ม
การเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax Invoice ต้องอาศัยการลงทุนในซอฟต์แวร์ที่รองรับมาตรฐานของกรมสรรพากร และธุรกิจยังต้องอบรมพนักงานให้เข้าใจการใช้งานระบบใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวและเพิ่มภาระงานในช่วงแรก
ต้องปรับปรุงกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับการใช้งานระบบ e-Tax
ธุรกิจที่เคยใช้ใบกำกับภาษีแบบกระดาษ อาจต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน เช่น การจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัล การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และการส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรตามข้อกำหนด การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในช่วงแรก แต่เมื่อระบบเริ่มเข้าที่ จะช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว
e-Tax Invoice เหมาะกับใครบ้าง ?
- ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่ต้องการลดต้นทุน และเพิ่มความสะดวกในการจัดการภาษี
- องค์กรที่ต้องการเพิ่มความโปร่งใส และรองรับการตรวจสอบจากกรมสรรพากร
- ธุรกิจที่มุ่งพัฒนาระบบดิจิทัล และต้องการก้าวทันเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน
e-Tax Invoice บังคับใช้เมื่อไร ทำอย่างไรหากต้องการใช้ระบบนี้
กรมสรรพากรได้เริ่มส่งเสริมให้ธุรกิจไทยเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax Invoice เพื่อลดการใช้เอกสารกระดาษและเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรมทางภาษี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545* เป็นต้นมา ซึ่งหากธุรกิจใดที่สนใจเริ่มใช้ระบบนี้ และกำลังหาข้อมูลว่าการเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax Invoice ต้องทำอย่างไร สามารถเริ่มได้ด้วยการตรวจสอบความพร้อมของระบบบัญชีและการเงินของธุรกิจ ว่าสามารถรองรับระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้หรือไม่ หากพบว่าสามารถทำได้ ให้ลงทะเบียนกับทางกรมสรรพากร หรือปรึกษาผู้ให้บริการ e-Tax Invoice ที่ได้รับการรับรอง เพื่อช่วยให้ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
*ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 121/2545
e-Tax Invoice เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการจัดการภาษีขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และความโปร่งใส ที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุคดิจิทัล หากคุณยังไม่เริ่มใช้งานระบบนี้ นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีในการปรับเปลี่ยน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและศักยภาพให้ธุรกิจของคุณ โดย DataOne Asia คือผู้ให้บริการโปรแกรม e-Tax Invoice ที่ผ่านการรับรองด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ด้วยระบบเก็บรักษาข้อมูลที่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถส่งมอบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมได้อย่างสะดวก พร้อมนำส่งกรมสรรพากรได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อขอรับคำแนะนำในการติดตั้งโซลูชันที่ตอบโจทย์กับรูปแบบธุรกิจของคุณได้เลย
ข้อมูลอ้างอิง:
คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 121/2545. สืบค้นวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 จาก https://www.rd.go.th/13489.html